คนดื้อวิตามินดี
ร่างกายคนเราจะได้รับวิตามินดี มาจากสองทาง คือ ได้จากอาหาร ซึ่งแหล่งหลักได้แก่ น้ำมันตับปลาค็อด ปลาแซลมอน เห็ดตากแดด ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่ากระป๋อง ปลาซาร์ดีน นอกจากนี้ยังได้รับวิตามินดีเล็กน้อยจากตับ เนื้อวัว และไข่ ซึ่งวิตามินดีจากอาหารนี้จะเข้าสู่ร่างกายในรูปวิตามินดี3 (cholecalciferol) และ ได้จากรังสี UVB ในแสงแดด ซี่งจะเปลี่ยนไขมันชั้นใต้ผิวหนังชื่อ 7-Dehydro-cholesterol ไปเป็นวิตามินดี3 จากนั้นวิตามินดี3 จะถูกร่างกายเปลี่ยนไปอีกสองขั้นตอน คือเปลี่ยนไปเป็น ไฮดร๊อกซีวิตามินดี ที่ตับเป็นอวัยวะหลัก ซึ่งตัวไฮดร๊อกซี่วิตามินดีนี้ครึ่งหนึ่งจะสลายไปในเวลา 15 วัน ทำให้ใช้เป็นตัวเจาะเลือดบอกระดับของวิตามินดีของร่างกายได้ดีที่สุด และต่อมาเปลี่ยนไฮดร๊อกซี่วิตามินดีจะถูกเปลี่ยนเป็นไดไฮดร๊อกซี่วิตามินดี ที่ไตเป็นอวัยวะหลัก
ตัวไดไฮดร๊อกซี่วิตามินดีนี้เป็นสารออกฤทธิ์ตัวจริงที่จะไปออกฤทธิ์เพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เข้ากระแสเลือด และกระตุ้นให้เซลล์กระดูกสร้างมวลกระดูก แต่ในการตรวจระดับวิตามินดีในเลือด จะไม่ตรวจหาตัวนี้ ไปตรวจหาไฮดร๊อกซี่วิตามินดีแทน เพราะตัวไดไฮดร๊อกซี่วิตามินดีเมื่อผลิตออกมาแล้วมันอายุสั้นครึ่งหนึ่งจะสลายไปในเวลาเพียง 15 ชั่วโมง อีกทั้งระดับของไดไฮดร๊อกซีวิตามินดีจะไม่ตกต่ำลงไปง่ายๆ แม้ร่างกายเริ่มขาดวิตามินดีแล้วก็ตาม เพราะระดับของมันจะถูกชดเชยอย่างรวดเร็วโดยฮอร์โมนพาราไทรอยด์ จึงไม่เหมาะที่จะใช้บอกระดับของวิตามินดีในร่างกาย
หน่วยนับของไฮดร๊อกซี่วิตามินดีมีสองหน่วยคือ ng/mL และ nmol/L (โดยที่ 1 ng/mL = 2.5 nmol/L) การจะให้ปลอดโรคขาดวิตามินดีในด้านต่างๆ ไม่เฉพาะโรคกระดูกอ่อน จะต้องให้มีระดับไฮดร๊อกซี่วิตามินดีสูงเกิน 30 mg/mL ขึ้นไป ซึ่งสูงกว่าที่สถาบันการแพทย์แนะนำไว้ถึงหนึ่งเท่าตัว
ในกรณีของคนที่เป็นโรคกระดูกพรุนและรับประทานวิตามินดี3 แต่ระดับไฮดร๊อกซี่วิตามินดี3 ยังไม่ขึ้น อาจมีสาเหตุจากอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่าง ดังนี้
- ขนาดที่กินต่ำไป เพราะขนาดตามสถาบันการแพทย์อเมริกัน (IOM)แนะนำคือวันละ 400 - 600 IU แต่งานวิจัยระยะหลังพบว่าขนาดแค่นั้นไม่พอรักษาพวกขาดวิตามินดีเรื้อรัง ถึงแม้จะให้ในขนาดสูงสุดที่ปลอดภัยที่สถาบันการแพทย์แนะนำคือ 2000 IU ต่อวันก็ยังไม่ค่อยจะพอ
- เอมไซม์ที่ร่างกายใช้เปลี่ยนวิตามินดี3 ไปเป็นไฮดร๊อกซี่วิตามินดี (CYP27A1) ของตัวเราอาจมีไม่พอหรือทำงานไม่ดี ซึ่งอาจจะเป็นเพราะพันธุกรรมได้
- เอมไซม์ที่ใช้ดูดซึมวิตามินดีที่กินเข้าไปเข้าสู่ร่างกายที่ลำไส้ของตัวเราอาจมีไม่พอหรือทำงานไม่ดี
สำหรับในด้านคำแนะนำในเบื้องต้นคือควรจะปรึกษาแพทย์ในเรื่องการเพิ่มขนาดวิตามินดีที่ใช้ให้มากกว่าเดิม ในกรณีที่เพิ่มขนาดอย่างเต็มที่แล้วแต่ระดับไฮดร๊อกซี่วิตามินดียังไม่ขึ้น แนะนำว่าควรกินวิตามินดีในรูปของสารออกฤทธิ์ขั้นสุดท้ายคือไดไฮดร๊อกซี่วิตามินดีซึ่งเป็นวิตามินดีชนิด Calcitriol มีชื่อทางการค้าคือ Rocaltrol และมีราคาแพงกว่าวิตามินดี3 การรับประทานวิตามินดีชนิดนี้เป็นการข้ามขั้นตอนของผิวหนัง ตับ ไต เพราะเราไม่รู้ว่าร่างกายขาดเอมไซม์ในขั้นตอนใด
วิธีในการทานวิตามินชนิดนี้จะทานวันละ 1 แคปซูลจากนั้นค่อยเพิ่มทีละเท่าตัวทุกสองสัปดาห์ จนถึงขนาดสูงสุดคือวันละ 1 mcg 4 แคปซูล และเมื่อเริ่มทานยาชนิดนี้ควรที่จะหยุดการกินแคลเซียมไปก่อน เนื่องจากไดไฮดร๊อกซี่จะเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้เข้ากระแสเลือดมากขึ้น จึงควรทานแคลเซียมแหล่งอาหารธรรมชาติแทน เช่น นมพร่องมันเนย หรือนมถั่วเหลือง เมื่อทานไดไฮดร๊อกซี่ได้สามเดือนแล้วค่อยไปตรวจระดับแคลเซียมถ้าหากว่าสูงเกินไปค่อยลดขนาดลงมาเหลือวันละ 0.5 mcg หรือ 2 แคปซูล ไม่จำเป็นต้องตรวจระดับไฮดร๊อกซี่วิตามินดีซ้ำ เพราะตัวที่กินเข้าไปใหม่นี้คือไดไฮดร๊อกซี่วิตามินดี ซึ่งเป็นคนละตัวกัน และตัวไดไฮดร๊อกซีวิตามินดีนี้ไม่สามารถตรวจระดับที่เมืองไทยได้ ต้องส่งไปตรวจต่างประเทศ
นอกจากวิตามินดีแคลเซียม และยาเพิ่มมวลกระดูกแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการรักษากระดูกพรุนคือการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (strength training) เช่น การเล่นกล้ามหรือยกน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอ
บรรณานุกรม
- U.S. Department of Agriculture, Agricultural Research Service. USDA Nutrient Database for Standard Reference, Release 22, 2009.
- Holick MF, Biancuzzo RM, Chen TC, et al. Vitamin D2 is as effective as vitamin D3 in maintaining circulating concentrations of 25-hydroxyvitamin D. J Clin Endocrinol Metab. Mar 2008;93(3):677-81.
- Institute of Medicine, Food and Nutrition Board. Dietary Reference Intakes: Calcium, Phosphorus, Magnesium, Vitamin D, and Fluoride. Washington, DC: National Academy Press, 1997.
- Bischoff-Ferrari HA, Giovannucci E, Willett WC, Dietrich T, Dawson-Hughes B. Estimation of optimal serum concentrations of 25-hydroxyvitamin D for multiple health outcomes. Am J Clin Nutr. 2006 Jul;84(1):18-28. 2006.
- Vieth R, Bischoff-Ferrari H, Boucher BJ, Dawson-Hughes B, Garland CF, Heaney RP, et al. The urgent need to recommend an intake of vitamin D that is effective. Am J Clin Nutr 2007;85:649-50. [PubMed abstract]
- Yetley EA. Assessing the vitamin D status of the US population. Am J Clin Nutr 2008;88:558S-64S.
- Holick MF. Vitamin D: the underappreciated D-lightful hormone that is important for skeletal and cellular health. Curr Opin Endocrinol Diabetes 2002;9:87-98.
- Cranney C, Horsely T, O'Donnell S, Weiler H, Ooi D, Atkinson S, et al. Effectiveness and safety of vitamin D. Evid Rep Technol Assess (Full Rep). 2007 Aug;(158):1-235.
- Jackson RD, LaCroix AZ, Gass M, Wallace RB, Robbins J, Lewis CE, et al. Calcium plus vitamin D supplementation and the risk of fractures. N Engl J Med 2006;354:669-83.
- Jones G. Pharmacokinetics of vitamin D toxicity. Am J Clin Nutr 2008;88:582S-6S.
- Ganong, WF. Review of Medical Physiology 18 th ed. 1997; p 359-371.