การแปลผล Cr ของผู้ป่วยซึ่งเป็นโรคไต
ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไตนั้นมักเข้าใจว่ามีตัวเลขสองตัวที่ต้องสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญ นั่นคือ ความสัมพันธ์ของค่า Cr และ GFR รวมทั้งอายุ
ซึ่งค่าปกติของ Cr ในผู้ใหญ่คือผู้ชาย 0.6-1.2 mg/dl หญิงคือ 0.5-1.1 mg/dl (mg/dl = mg%)
แต่ในปัจจุบันนี้สมาคมโรคไตทั่วโลกรวมทั้งสมาคมโรคไตประเทศไทยได้หันมาใช้ค่า GFR หรือ eGFR ในการบอกการทำงานของไตแทนค่า Cr
เพราะมีตีความหมายในเชิงป้องกันโรคได้ง่ายกว่า ดังนั้น แล็บที่ดีควรรายงานค่า eGFR มาด้วยทุกครั้ง
นอกจากนั้น สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยแนะนำว่าถ้าอัตราเสื่อมของ GFR เร็วกว่า 7 ซีซี.ต่อปี ถือว่าเสื่อมเร็วเกินไป ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแก้ไข แต่ในอนาคตไตจะเสื่อมเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่ที่การดูแลปฏิบัติตัว ซึ่งมีประเด็นสำคัญดังนี้
- ต้องระวังมากที่สุดไม่ให้ความดันเลือดสูงเกิน 130/80 มิลลิเมตร/ปรอท
- ถ้าเป็นเบาหวานต้องรักษาให้น้ำตาลหลังอดอาหารต่ำกว่า 130 ไว้เสมอ
- หลีกเลี่ยงสารพิษต่อไต ได้แก่ ยาแก้ปวดแก้อักเสบ (NSAID) ยาปฏิชีวนะพวก Aminoglycoside สมุนไพรต่างๆ เพราะทำให้ไตพังได้ง่าย
- ควรปฏิเสธรับการฉีดสารทึบรังสีเพื่อตรวจพิเศษทางเอ็กซเรย์ต่างๆ ยกเว้นถ้าไม่ฉีดแล้วโรคที่เป็นอยู่อาจทำให้เสียชีวิตจึงค่อยยอมฉีด เพราะสารพวกนี้มีพิษต่อไตมาก
- โภชนาการต้องไม่เค็ม และต้องได้แคลอรี่มากพอ (30-35 แคลอรี่ต่อกก.ต่อวัน) และได้โปรตีนพอดี (0.6-0.8 กรัมต่อกก.ต่อวัน)
- อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ ดื่มน้ำวันละไม่น้อยกว่าสองลิตร หากจำกัดน้ำจะยิ่งทำให้ไตพังเร็วขึ้น การจำกัดน้ำจะทำเฉพาะระยะสุดท้ายเมื่อร่างกายบวมเท่านั้น
- รับประทานผักผลไม้ให้มาก อย่าจำกัดอาหารผักผลไม้ที่ให้โปแทสเซียมจนขาดวิตามิน จะจำกัดก็ต่อเมื่อระยะสุดท้ายของโรคที่มีโปแทสเซียมในเลือดสูงเกินพอดีเท่านั้น ซึ่งเป็นระยะล้างไตแล้ว
- ออกกำลังกายให้หนักพอควรต่อเนื่องครั้งละครึ่งชั่วโมงทุกวัน คนเป็นโรคไตมักไม่ได้เสียชีวิตด้วยโรคไต แต่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจหรือไขมันจุกหลอดเลือดหัวใจ
- ควรไปตรวจภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี และฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละครั้งทุกปี หากอายุเกิน 65 ปี ควรฉีดวัคซีนปอดบวมด้วย เพราะทั้งสามโรคนี้ถือว่าอันตรายต่อผู้ป่วยไตเรื้อรัง
สำหรับผู้ป่วยที่ไตสองข้างมีขนาดโตไม่เท่ากันไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่การมีเลือดออกในปัสสาวะถือเป็นเรื่องผิดปกติ แต่หากมีเลือดออกในปัสสาวะแต่ไม่มีโปรตีนออกมา แสดงว่าการทำงานของตัวกรองยังดีอยู่ ซึ่งเลือดออกอาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ ดังนี้
- โรคถุงน้ำหลายใบที่ไต
- ทางเดินน้ำปัสสาวะอักเสบ
- เกิดการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ เช่น ก้อนนิ่ว
- มะเร็งกระเพาะปัสสาวะหรือมะเร็งของไต
- ภาวะเลือดออกง่ายซึ่งอาจวินิจฉัยได้จากหลายโรค
- โรคผิดปกติที่ทำให้แคลเซียมออกในปัสสาวะมาก
จากโรคทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะมักพบได้ยากที่สุด แต่อันตรายที่สุด จำเป็นต้องส่องกล้องเข้าไปดูในกระเพาะปัสสาวะโดยเฉพาะ